วัตถุประสงค์ในการจัดสัมมนาครั้งนี้เพื่อชี้แจงแนวนโยบายและมาตรการการแก้ไขปัญหา Y2K โดยเน้นที่จะชี้แจงบทบาทและกลไกในการแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์ในภาครัฐ อีกทั้งยังเปิดเวทีอภิปรายให้แต่ละหน่วยงานได้ระดมสมองแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและกลยุทธ์ในการแก้ปัญหาดังกล่าวซึ่งกันและกัน เพื่อนำไปปรับใช้กับหน่วยงานของตนได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพต่อไป

          ในการสัมมนาครั้งนี้มีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและประสบการณ์ในด้านการแก้ไขปัญหา Y2K จากหลายหน่วยงานทั้งจากภาครัฐ และเอกชน มาอภิปรายให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว โดยในช่วงเช้ามีการบรรยายเสนอแนะความคิดเห็นจากหน่วยงานที่มีประสบการณ์และมีความรู้ในเรื่องการแก้ไขปัญหา Y2K 4 ท่าน ได้แก่ ดร.วันชัย  อริยพุทธิพงศ์ จากสมาคมธนาคารไทย นายพฤฒิ  เมาลานนท์ ตัวแทนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดร.ประสิทธิ  ทีฑพุฒิ จากสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย และนายปราโมทย์   พงษ์ทอง ตัวแทนจากสมาคมธุรกิจคอมพิวเตอร์ไทย ซึ่งบรรยายมีประเด็นสำคัญสรุปได้คือ

• ในส่วนของสมาคมธนาคารไทย ได้มีการจัดทำ Web Site เพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสารให้แก่สมาชิก และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลการแก้ปัญหาระหว่างสมาชิกธนาคารด้วยกันเอง ในส่วนระบบเงินฝาก ซึ่งเป็นระบบที่ต้องรีบดำเนินการแก้ไข โดยได้เริ่มสำรวจประเมินและแก้ไขจากระบบแม่ (Host System) และรายงานให้ทางธนาคารแห่งประเทศไทยทราบเป็นระยะๆ ทั้งนี้ต้องผ่านการรับรองจากคณะกรรมการของแต่ละธนาคารก่อน กำหนดเสร็จเดือนพฤศจิกายน 2541 นี้ เชื่อว่าธนาคารจะสามารถให้บริการเบิกถอนได้ตามปกติ
• สำหรับส่วนของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินการในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวไปบ้างแล้ว กล่าวคือ ส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นตอนของ Awareness ส่วนปัญหาที่พบในตอนนี้ก็คือ ขาดการวางแนวทางการแก้ไขร่วมกันอย่างจริงจังระหว่างสภาอุตสาหกรรมและสมาชิก เนื่องจากโรงงานหรือผู้ประกอบการยังต้องประคองตัวให้รอดจากสภาวะเศรษฐกิจ อีกปัญหาหนึ่งคือ โรงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ควบคุม ซึ่งต้องติดต่อกับผู้ผลิตเครื่องจักรและแก้ไขค่อนข้างยาก และอาจได้รับผลกระทบบ้าง
• ด้านสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย กล่าวถึงปัญหาที่จะเกิดในระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการควบคุมงานด้านโทร-คมนาคม เช่น ระบบ Network Management, DataBase, Computer System ซึ่งจะต้องจัดลำดับความสำคัญของระบบ เพื่อแก้ไขปัญหา และในด้าน Supplier เองก็มีปัญหาเช่นกัน คือมักจะ Upgrade Software ตลอดเวลาจึงทำให้เกิดปัญหาการลงทุนในส่วนนี้ จึงได้มีการรวมกลุ่มในรูปสมาคมโทรคมนาคม โดยมี Supplier เป็นกรรมการ
• ส่วนสุดท้ายได้แก่ สมาคมธุรกิจคอมพิวเตอร์ไทย กล่าวถึงในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีการเปิดเว็บไซต์ ให้ทุกหน่วยงานแจ้งสถานภาพการแก้ไขปัญหาให้รัฐบาลกลางทราบ และผู้นำระดับสูงของประเทศได้ให้ความสำคัญและประกาศเป็นนโยบายอย่างเด่นชัด ส่วนประเทศไทย เมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ แล้วถือว่าดำเนินการล่าช้า และในการแก้ไขระบบต่างๆ ภายในองค์กร ต้องคำนึงถึงระบบที่เชื่อมโยงกับระบบอื่นๆ ด้วย และควรมีการจัดระดับความสำคัญของระบบ การวางแผนแบ่งได้เป็น 4 เฟส คือ 1. Initiation 2. Business Impact Analysis 3. Contingency Planning 4. Testing และต้องมีทีมงานที่ทำงานเต็มเวลา

     ในช่วงบ่ายได้มีการแบ่งกลุ่มอภิปราย โดยยึดหลักความสำคัญยิ่งยวด แบ่งได้เป็น 4 กลุ่มคือ กลุ่มการเงินการธนาคาร กลุ่มความมั่นคงปลอดภัย/ชีวิตและทรัพย์สิน กลุ่มสาธารณูปโภค และกลุ่มโทรคมนาคม

     นายเมธา สุวรรณสาร ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ตัวแทนธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่าการดำเนินการแก้ไขของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ได้วางกรอบนโยบายไว้ชัดเจน โดยเริ่มศึกษามาตั้งแต่ปี 1997 สำหรับการแก้ปัญหา ทางธนาคารฯ ทำเองทั้งหมด ตามมาตรฐานของสหรัฐอเมริกา และเตรียมงบประมาณไว้สำหรับแก้ปัญหาประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งในการดำเนินการนั้นมีการลงรายละเอียดทุกขั้นตอนและมีการกำหนดเวลาแล้วเสร็จอย่างชัดเจน คาดว่าจะเสร็จในปีนี้ และจะทดสอบในต้นปี 1999

     ด้านนายมานิตย์ จิตวัฒนากร ตัวแทนจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า งบประมาณที่ใช้ในการแก้ปัญหาของธนาคารประมาณ 200 ล้านบาท ทั้งนี้ได้มีกำหนดไว้ว่าจะทำการแก้ไขให้เสร็จภายในไตรมาสแรกของปี 2542 ส่วนเวลาที่เหลือจะเป็นการ- ทดสอบระบบ นอกจากนี้แล้วยังแก้ไขระบบที่ไม่เกี่ยวข้องกับไอที แต่มีผลกระทบ เช่น ระบบจัดเก็บเอกสาร ระบบอาคาร เครื่องใช้สำนักงาน เครื่องมือสื่อสาร ส่วนในเรื่องการรวมธนาคารจะไม่มีผลต่อปัญหา Y2K ถึงแม้ว่าระบบจะต่างกัน โดยจะใช้บุคลากรจาก 2 ฝ่ายมาปรึกษาร่วมกัน

     ในส่วนตลาดหลักทรัพย์ นายสมคิด จิรานันตรัตน์ ผู้ช่วยผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่าขณะนี้ดำเนินการแก้ไขไปแล้วประมาณ 50% คาดว่าแล้วเสร็จในปี 2541 เริ่มทดสอบในปี 2542 และได้มีการเตรียมแผนสำรองไว้ในกรณีระบบแก้ไขแล้วมีปัญหาเกิดขึ้น เช่น ใช้ระบบงานที่ศูนย์สำรองทดแทน (DRC) เปลี่ยนการทำงานเป็นระบบ Manual เป็นต้น ด้านกลุ่มความมั่นคงปลอดภัย/ชีวิตและทรัพย์สิน นายแพทย์ณรงค์ กษิติประดิษฐ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการสำรวจเครื่องคอมพิวเตอร์ในส่วนกลาง 2,000 เครื่อง ส่วนใหญ่ไม่มีปัญหา Y2K ส่วนที่มีปัญหาก็ได้มีการแก้ไขโดยให้งบประมาณของส่วนกลางไปแล้ว 1 ล้านบาท ในส่วนอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์นั้น ต้องอาศัยผู้ผลิตเข้ามาช่วยแก้ไข

     กลุ่มสาธารณูปโภค นายสุวิทย์ สิริยง จากการประปานครหลวง กล่าวว่า ปัญหา Y2K จะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อระบบการผลิตและจัดส่งน้ำ ดังนั้นในปี 2000 รับรองว่ามีน้ำใช้แน่นอน แต่อาจจะมีปัญหาต่อระบบจำหน่าย คือเรื่องการออกบิล ซึ่งขณะนี้กำลังจ้างผู้เชี่ยวชาญมาดำเนินการแก้ไขแล้ว

     นายสุจริต นิลกำแหง จากการไฟฟ้านครหลวง กล่าวว่า ระบบงานในธุรกิจหลักของการไฟฟ้านครหลวงใช้ ตัวเลขวัน เดือน ปี ในการประมวลผลคือ ระบบงานด้านบริการและจัดเก็บรายได้ และระบบงานด้านบริหารภายในองค์กร ส่วนการดำเนินการแก้ไขนั้น ได้จ้างที่ปรึกษาในการจัดทำ Inventory Assessment และ Renovation Plan และขั้นการแก้ไขและทดสอบได้เริ่มทำตั้งแต่ 1 พ.ค. 41 คาดว่าแล้วเสร็จ 30 มิ.ย. 42

     กลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มโทรคมนาคม นายอานันท์ ทับเที่ยง จากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย กล่าวว่าปัญหาขององค์การโทรศัพท์ฯ นั้นส่วนใหญ่จะเกิดกับ I/O Devices ที่เชื่อม-ต่อ และปัญหาการเก็บข้อมูล Billing System, Charging System และผลจากการทดสอบพบว่าการเก็บข้อมูลระบบบิล และค่าใช้บริการไม่ถูกต้อง ในส่วนนี้ได้ร่วมมือกับ TA และ TT&T เพื่อจ้างผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ในปี 2000 นี้องค์การโทรศัพท์จะสามารถแก้ปัญหา และไม่เกิดผลกระทบต่อประชาชนแน่นอน

     ทางการสื่อสารแห่งประเทศไทย นายสุชิน พึ่งวรอาสน์ กล่าวว่า ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา อาซีมุธ คอนซัลแทนท์ จากประเทศนิวซีแลนด์เพื่อศึกษาเรื่องนี้ คาดว่าจะเสร็จในเดือนกันยายน 2542 นี้ ส่วนการดำเนินงานในขณะนี้อยู่ในช่วงของการสำรวจอุปกรณ์เพื่อทำการเก็บข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ

     นอกจากนี้นายนิคม ภคบัณฑุ จากบริษัท การบินไทย จำกัด กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขของการบินไทยว่า ใช้ตามมาตรฐาน PD2000-1 ของ British Standards Institution และใช้วิธีแก้ปัญหาตามแนวทางของ US General Accounting Office และบริหารในรูปโครงการ การสำรวจระบบงานคืบหน้าไปแล้ว 56%

     จากการสัมมนาเพื่อกระตุ้นการแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์ปี ค.ศ. 2000 ครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการสัมมนาเพื่อให้แนวนโยบายที่ชัดเจนแก่ตัวแทนภาครัฐที่มาร่วมสัมมนา รวมทั้งข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่บรรจุในแฟ้มสัมมนา และที่สำคัญที่สุดก็คงได้รับทราบกระบวนการวางแผนแก้ไขปัญหาของหน่วยงานต่างๆ ที่ได้ดำเนินการล่วงหน้าไปแล้ว เพื่อที่แต่ละหน่วยงานจะได้นำไปใช้ประโยชน์ หรือได้พบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน